แนวทางการป้องกันการเสพอบายมุข
หรือใช้สารเสพติดในโรงเรียน
เนื่องจากปัญหาการเสพอบายมุขของนักเรียนเกิดจากปัญหาครอบครัว
และปัญหาในโรงเรียนเป็นสำคัญ
จึงทำให้สภาพแวดล้อมอย่างอื่นเข้ามามีอิทธิพลต่อเยาวชน เช่น กลุ่มเพื่อน
และสถานเริงรมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเข้ามาชักชวน
เย้ายวนให้เยาวชนหลงมัวเมากับอบายมุขเหล่านั้น
ซึ่งเราไม่อาจห้ามมิให้เยาวชนพบกับสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการให้ภูมิต้านทานแก่นักเรียน ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งทั้งครอบครัวและโรงเรียนต่างก็มีหน้าที่สร้างภูมิต้านทานนี้แก่นักเรียนโดยตรงอยู่แล้ว และยังไม่สายเกิดไปที่จะกลับคืนสู่บทบาทดังกล่าวนี้อีกครั้งหนึ่ง โรงเรียนจึงมีหน้าที่ต้องให้ความกระจ่างในการแก้ปัญหาอบายมุขแก่ผู้ปกครองในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษา และเป็นแหล่งวิทยาการความรู้บริการแก่สังคม ดังนั้นการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอบายมุขที่ดึงครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องจึงเพื่อการแก้ไขปัญหาอบายมุขประสบผลดี
ซึ่งเราไม่อาจห้ามมิให้เยาวชนพบกับสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการให้ภูมิต้านทานแก่นักเรียน ซึ่งแท้จริงแล้วทั้งทั้งครอบครัวและโรงเรียนต่างก็มีหน้าที่สร้างภูมิต้านทานนี้แก่นักเรียนโดยตรงอยู่แล้ว และยังไม่สายเกิดไปที่จะกลับคืนสู่บทบาทดังกล่าวนี้อีกครั้งหนึ่ง โรงเรียนจึงมีหน้าที่ต้องให้ความกระจ่างในการแก้ปัญหาอบายมุขแก่ผู้ปกครองในฐานะที่เป็นสถาบันการศึกษา และเป็นแหล่งวิทยาการความรู้บริการแก่สังคม ดังนั้นการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาอบายมุขที่ดึงครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องจึงเพื่อการแก้ไขปัญหาอบายมุขประสบผลดี
1. ครอบครัว จากรายงานวิจัยเรื่อง "บทบาทของครอบครัวในการป้องกันการติดยาเสพติด" ของ ผศ. ดร. ลาดทองใบ ภูอภิรมณ์
แห่งสถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร
ได้ให้ข้อเสนอแนะในการสร้างภูมิต้านทางยาเสพติดให้แก่นักเรียน โดยการศึกษานักเรียน
ม.1 และ ม.3 รวม 667 คนไว้อย่างน่าสนใจคือ
1.1 เยาวชนไทยยังไม่ได้รับความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดอย่างถูกต้อง
และมากพอที่จะรู้สึกหวาดกลัวต่อพิษภัยของยาเสพติด
1.2 บิดามารดา ผู้ปกครอง ครู
และผู้เกี่ยวข้องกับเยาวชน
เป็นบุคคลสำคัญที่ควรจะมีความรับผิดชอบในการป้องกันยาเสพติดในเยาวชนร่วมกัน
ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึงควรจะมีความรับผิดชอบในการป้องกันยาเสพติดในเยาวชนร่วมกัน
ดังนั้นบุคคลเหล่านี้จึงควรได้รับความรู้เกี่ยวกับยาเสพติดทุกแง่ทุกมุม
เพื่อจะได้ดูแลเยาวชนอย่างใกล้ชิดและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของเยาวชนเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษได้ทันท่วงที
1.3 บทบาทของบิดามารดาเกี่ยวกับอบรมเลี้ยงดูเด็ก
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดภายในครอบครัวเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งในการสร้างภูมิต้านทานการเสพติดของเด็ก
จากการศึกษาพบว่าเด็กที่รายงานว่าได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน
และใช้เหตุผลมากเท่าใดเด็กจะมีความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเสพติด
และต้านอิทธิพลจากการชักจูงของเพื่อนมากเท่านั้น
แต่ถ้าเด็กรายงานว่าได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนน้อยและใช้เหตุผลน้อย
เด็กก็จะมีความใกล้ชิดกับยาเสพติดมาก
ทั้งนี้แสดงว่าการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนมากและใช้เหตุผลมาก มีส่วนสำคัญในการสร้างภูมิต้านทานการเสพติดในเด็กอย่างมีประสิทธิผล
การอบรมเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์
เป็นวิธีอบรมเลี้ยงดูที่มีความสำคัญเป็นอันดับแรก
ส่วนการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน
มีความสำคัญเป็นอันดับรองซึ่งการอบรมเลี้ยงดูทั้งสองแบบ พบว่ามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภูมิต้านทานการเสพติดของเด็ก
บิดามารดาควรใช้การอบรมเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ตั้งแต่บุตรยังอยู่ในวัยเด็ก
แต่โดยธรรมชาติเด็กมักจะลืมง่าย
ผู้ใหญ่จึงจำเป็นต้องหมั่นชี้แจงเหตุผลแก่เด็กอยู่เป็นนิจเพื่อเป็นการเตือนความจำของเด็กให้รู้จักควบคุมพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
เมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้นจนถึงวัยรุ่นตอนกลาง เด็กมีความพร้อมทางด้านสติปัญญา
สามารถใช้ความคิด
และแสดงความคิดเห็นของตนเองได้อย่างเสรียิ่งกว่านั้นเด็กยังสามารถแสดงความคิดเห็นร่วมหรือไม่เห็นร่วมกับผู้อื่นได้
สำหรับการเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนเป็นการปฏิบัติของบิดามารดาต่อบุตร
ด้วยการให้ความรักและยกย่องลูกตลอดทั้งแสดงให้ลูกรู้สึกว่าตนเป็นที่ยอมรับของพ่อแม่
นอกจากนี้บิดามารดายังให้ความเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุข
และสนใจทำกิจกรรมร่วมกับบุตรด้วย และในการอบรมเลี้ยงดูเด็กทั้งสองแบบ ดังกล่าว
หากมีการให้รางวัลหรือลงโทษ
บิดามารดาควรกระทำให้เหมาะสมกับเหตุผลตามพฤติกรรมของเด็ก
ฉะนั้นบิดามารดาควรจะตระหนักว่าหลักในการอบรมเลี้ยงดูเด็กที่สำคัญยิ่งคือ
การอบรมเลี้ยงดูเด็กแบบใช้เหตุผลมาก และรักสนับสนุนมาก
1.4 เสริมสร้างทัศนคติที่ดีของเด็กต่อการควบคุมสื่อมวลชนของผู้ปกครอง
โดยการชี้แนะให้ ให้เด็กเห็นคุณประโยชน์ของการรับสื่อมวลชนที่มีประโยชน์
ซึ่งจะทำให้เด็กเกิดความพอใจที่บิดามารดาให้ความเอาใจใส่ต่อตนในการรับสื่อมวลชน
และในที่สุดเด็กก็พร้อมที่จะรับฟังคำแนะนำของบิดามารดาและปฏิบัติตาม
1.5 กลุ่มเยาวชนที่ควรได้รับการเสริมสร้างภูมิต้านทานการเสพติด
3 ด้าน
ซึ่งได้แก่ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเสพติด การปฏิเสธการชักจูงจากเพื่อน
และความสามารถในการที่จะไม่เอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับยาเสพติด มีดังนี้
1.5.1 เด็กที่บิดามีการศึกษาต่ำ
ควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนมากและใช้เหตุผล มากจากบิดา มารดา
จึงจะช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานการเสพติดทั้ง 3 ด้านสูง เหตุผลมาก พร้อมทั้งควรได้รับการเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อการควบคุมสื่อมวลชนของผู้ปกครองจึงจะ
ช่วยให้เด็กมีภูมิต้านทานการเสพติดทั้ง
3 ด้านสูง ทานการเสพติดทั้ง
3 ด้านสูง
และถ้า บิดามารดาใช้การอบรมเลี้ยงดูแบบใช้เหตุผลสูง ก็จะช่วยให้เด็ก สามารถต้านต่ออิทธิพล การชักจูงจากเพื่อนได้มาก
1.5.2 เด็กจากครอบครัวขนาดเล็กและขนาดใหญ่
ควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน มาก และใช้
1.5.3 เด็กที่อาศัยอยู่กับบิดามารดา
ควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนมากจึงจะช่วยให้ เด็กมีภูมิต้าน
2. ฝ่ายโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษา
ปัจจุบันโรงเรียนเป็นสถานที่รับการผลักภาระการเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน
โรงเรียนจึงเป็นที่รวมของเยาวชนซึ่งนับได้ว่าเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของโครงการนี้
การที่สังฆมณฑลดูแลทั้งโรงเรียน และชุมชน จึงเอื้ออำนวยต่อโครงการนี้อยู่มาก
2.1 สมาคมครู-ผู้ปกครองตั้งขึ้นมาเพื่อร่วมมือกันพัฒนาเยาวชนระหว่างครอบครัวและโรงเรียนทุกครั้งที่มีการประชุมร่วมกัน
ควรอย่างยิ่งที่จะหยิบยกปัญหาอบายมุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหายาเสพติดขึ้นมาพิจารณาหาทางแก้ไข
2.2 ในวันประชุมผู้ปกครอง
ควรให้มีการอบรมผู้ปกครองให้เห็นถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัว และสถาบันการศึกษา
ว่ามีส่วนรับผิดชอบร่วมกันอย่างไร ชี้แนะถึงวิธีเลี้ยงดูบุตรอย่างถูกวิธี
(โดยการเชิญวิทยากรจากภายนอก) มิใช่เป็นเพียงร่วมมือกันด้านการเรียนการสอนเท่านั้น
แต่หมายถึงการพัฒนาเยาวชนทั้งครบอีกด้วย
2.3 ให้มีการตรวจสุขภาพประจำปีนักเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น
2.4 ให้ครูสอดส่องพฤติกรรมของนักเรียน
ซึ่งมีท่าทีว่าประสบปัญหาครอบครัวหรือปัญหายาเสพติด หรืออบายมุขรูปแบบอื่น ๆ
ให้รีบทำการบำบัดรักษา โดยปกปิดเป็นความลับโรงเรียนควรหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้นักเรียนเหล่านี้รวมกลุ่มกันเพื่อลดอบายมุขเช่น
บุหรี่ สถานบริการ เหล้า เป็นต้น จำไว้เสมอว่า ผู้เสพยาเสพติดไม่ใช่อาชญากร ตราบใดที่เขายังมิได้ก่ออาชญากรรม
2.5 ครูที่ปรึกษา (นักสังคมสงเคราะห์)
และครูแนะแนว และในบางวิชา เช่น วิชาศีลธรรม และสุขศึกษา
มีบทบาทอย่างมากหรือโดยตรงต่อการต่อต้าน
ให้คำปรึกษาแก่นักเรียนในปัญหาอบายมุขและควรมีอย่างเพียงพอ
2.6 ให้ผู้บริหารโรงเรียนสนับสนุนกลุ่มสนใจ
หรือกลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนมากขึ้น เพื่อมุ่งให้เยาวชนใช้เวลาว่างในทางสร้างสรรค์
และให้มีการต่อต้านอบายมุขอย่างกว้างขวาง
2.7 ให้การศึกษาเรื่องอบายมุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สถานบริการ และยาเสพติดให้ครูอาจารย์ เยาวชนได้รู้เท่าทัน
โดยอาจจัดเป็นนิทรรศการร่วมกับโรงเรียนอื่น ๆ
2.8 ให้มีการอบรมนักเรียนเป็นประจำทุกเดือน
ในเรื่องปัญหาอบายมุข โดยการจัดหาสไลด์ภาพยนตร์
หรือการบรรยายพิเศษจากวิทยากรชำนาญการภายนอก
2.9 กวดขันระเบียบวินัยของครูให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักเรียน
และควรเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาบรรจุครูเข้าสอน
2.10 ให้กำหนดเขตปลอดอบายมุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุหรี่ในโรงเรียน กวดขันสินค้าที่เข้ามาจำหน่ายในโรงเรียน
ซึ่งมักมีการ์ตูนลามก หรือหนังส่องครั้งละบาทซึ่งมักจะมีภาพลามกอยู่ในนั้นด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้เยาวชนทดลองเสพอบายมุขมากขึ้น
2.11 ควรมีรางวัลให้แก่นักเรียนที่ประกอบคุณงามความดีในแง่ศีลธรรม
โดยประกาศให้เป็นที่รู้ทั่วกันเพื่อเป็นแบบอย่าง
และยังความภาคภูมิใจแก่ผู้ปกครองในการเลี้ยงดูบุตรหลาน
2.12 ควรให้มีการเข้าเงียบ
หรืออบรมฟื้นฟูจิตใจนักเรียน ตามคำสอนศาสนาของเยาวชนอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
2.13 ในการดำเนินงานตามแผนดังกล่าวทั้งหมด
จะต้องเรียกประชุมครูเพื่อร่วมปรึกษาวางแผนเชิงปฏิบัติการในทุกระดับ กล่าวคือ
ตั้งแต่แนวคิดจนกระทั่งถึงวิธีการ ขั้นตอนปฏิบัติ จำไว้เสมอว่า จะต้องให้ครูตระหนักถึงปัญหานี้
และให้ร่วมมือกันด้วยความสมัครใจ
อ้างอิง : http://www.library.au.edu/bro-martin/work45-8.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น